บทที่ 2 ภรรยาของเศรษฐีขายเครื่องประดับ
ทิพย์พารักษ์ไม่มีอารมณ์จะไปทะเลาะกับอัศวิน ยังไงเธอก็ใกล้จะตายแล้ว ขนาดชีวิตยังไม่สนใจ แล้วจะไปสนใจอะไรอีกล่ะ?
“คุณน่าจะรู้นะว่าฉันต้องการเงินไปทำอะไร นี่เป็นเงื่อนไขเดียวของฉัน ยังไงเงิน 10 ล้านสำหรับคุณมันก็แค่ตัวเลขชุดหนึ่งเท่านั้น” ทิพย์พารักษ์พิงโซฟา มองอัศวินแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
ในใจของอัศวินโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ในความคิดของเขา ผู้หญิงคนนี้ควรจะคุกเข่าลงกับพื้น กอดขาของเขา แล้วอ้อนวอนไม่หยุดว่าอย่าหย่ากับเธอ จากนั้นเขาก็จะเตะผู้หญิงน่ารำคาญคนนี้ออกไป และด่าทอว่าเธอเป็นตัวปัญหา
แต่ตอนนี้น้ำเสียงของทิพย์พารักษ์กลับทำให้อัศวินรู้สึกราวกับว่าเขาต่างหากที่เป็นตัวปัญหาที่ถูกโยนทิ้ง
“พรุ่งนี้เก้าโมง เราไปจัดการเรื่องเอกสารทั้งหมดให้เสร็จ” อัศวินพยายามข่มความโกรธ พูดจบก็หันหลังเดินจากไป
ทิพย์พารักษ์ไอออกมาสองสามครั้ง มองเศษแก้วที่แตกละเอียดบนพื้นแล้วถอนหายใจอย่างจนใจ
“บางทีฉันควรจะบวกค่าเสียหายของแก้วใบนี้เข้าไปในข้อตกลงด้วย” ทิพย์พารักษ์พูดล้อเล่นกับอากาศ แต่นี่ก็เป็นเพียงการปิดบังความเศร้าในใจของเธอ อย่างไรเสีย เธอก็เคยรักผู้ชายคนนี้จริงๆ
ทิพย์พารักษ์พยายามยันตัวลุกขึ้นจากโซฟา แล้วหยิบอุปกรณ์มาเก็บกวาดเศษแก้วที่แตกละเอียดลงถังขยะ แค่งานเล็กน้อยเพียงเท่านี้ ก็ทำให้เหงื่อผุดขึ้นบนหน้าผากของเธอแล้ว
เดิมทีทิพย์พารักษ์อยากจะพักสักหน่อย แต่จู่ๆ เธอก็เดินตรงไปยังห้องหนึ่ง พรุ่งนี้ก็จะหย่าแล้ว เธออยากจะขอดูห้องนั้นเป็นครั้งสุดท้าย
เมื่อเปิดประตูห้องเข้าไป สิ่งแรกที่เห็นคือเตียงเด็กทารก เพียงแต่ไม่มีทารกอยู่ในนั้น การตกแต่งห้องก็เป็นธีมการ์ตูนและของเล่นเล็กๆ น้อยๆ ที่เหมาะสำหรับเด็กทารก
ห้องนี้เป็นห้องที่ทิพย์พารักษ์เริ่มจัดเตรียมหลังจากตรวจพบว่าตั้งครรภ์ ตอนนั้นเธอเต็มไปด้วยความหวังต่ออนาคต แต่หลังจากที่ต้องเผชิญกับการสูญเสียลูกไปก่อนวัยอันควร การที่เธอยังไม่เป็นบ้าไปก็ถือว่าจิตใจเข้มแข็งมากแล้ว
“พรุ่งนี้แม่จะหย่ากับพ่อของลูกแล้วนะ แม่รู้สึกว่านี่เป็นการปลดปล่อย แต่บางครั้งก็อดที่จะใจหายไม่ได้ ตอนนี้มาคิดดูแล้ว ทำไมแม่ต้องมาทำให้ตัวเองต้องลำบากใจเพื่อคนสารเลวแบบนี้ด้วยนะ? ถ้าลูกยังมีชีวิตอยู่ ก็คงจะเห็นด้วยกับการตัดสินใจของแม่ใช่ไหม” น้ำตาไหลรินออกจากดวงตาของทิพย์พารักษ์ เธอหยิบตุ๊กตาบนพื้นขึ้นมา เช็ดใบหน้าของตุ๊กตาเบาๆ ราวกับกำลังลูบไล้ลูกของเธอ
ทิพย์พารักษ์กอดตุ๊กตาตัวนั้นนอนลงบนพื้นแล้วค่อยๆ ผล็อยหลับไป ในความฝัน ริมฝีปากของเธอยังคงพึมพำว่า “ลูกจะไม่เหงานะ เพราะอีกไม่นานแม่จะตามไปอยู่ด้วยแล้ว”
เวลาล่วงเลยถึงกลางดึก ทิพย์พารักษ์ที่กำลังหลับลึกก็ถูกปลุกด้วยเสียงโทรศัพท์ เป็นสายจากโรงพยาบาลแจ้งว่าอาการป่วยของพ่อเธอทรุดลงกะทันหัน
ทิพย์พารักษ์รีบมาถึงโรงพยาบาลเพื่อดูอาการพ่อของเธอ เธอผ่านค่ำคืนที่ยากลำบากในโรงพยาบาล แม้ว่าพ่อของเธอจะรอดชีวิตมาได้ แต่ค่ารักษาพยาบาลที่สูงลิ่วก็ทำให้ทิพย์พารักษ์รู้สึกตัวสั่นไปทั้งตัว
“ทำไมถึงต้องใช้เงินเยอะขนาดนี้? จริงสิ อัศวิน แค่หย่าก็ได้เงิน 10 ล้านแล้ว พ่อก็จะรอด” ทิพย์พารักษ์รีบโทรหาอัศวินทันที แต่พอหยิบมือถือขึ้นมา เธอถึงได้รู้ว่าเลยเวลานัดมาแล้ว
เมื่อโทรศัพท์ต่อติด ปลายสายก็มีเสียงที่เต็มไปด้วยความโกรธของอัศวินดังขึ้น “ทำไมคุณถึงมาสาย? คุณก็รู้ว่าผมเกลียดความรู้สึกที่เหมือนโดนปั่นหัวแบบนี้”
ทิพย์พารักษ์รีบร้อนขอโทษ “ขอโทษค่ะ แต่ตอนนี้พ่อของฉันอาการทรุดหนัก ฉันอยู่ที่โรงพยาบาล คุณช่วยโอนเงิน 10 ล้านนั่นให้ฉันก่อนได้ไหมคะ แค่ฉันจ่ายค่าผ่าตัดเสร็จ ฉันจะไปหย่ากับคุณทันที”
“เธอเล่นลูกไม้อะไรอีก คิดจะหลอกฉันอีกแล้วเหรอ? ยัยผู้หญิงโง่เง่า” อัศวินด่าอย่างรุนแรงแล้ววางสายไป
ทิพย์พารักษ์รีบโทรไปอีกครั้ง แต่ปลายสายกลับไม่มีคนรับ เธอรู้ว่าครั้งนี้อัศวินโกรธจริงๆ แล้ว ไม่มีทางเลือก เธอจึงต้องออกไปเรียกแท็กซี่ แล้วรีบมุ่งหน้าไปยังสถานที่นัดหย่า
เมื่อทิพย์พารักษ์ไปถึงสถานที่นัดหย่า ก็พบว่าอัศวินกลับไปนานแล้ว ด้วยความจนใจ ทิพย์พารักษ์จึงต้องนั่งรถไปยังที่ทำงานของอัศวินอีกครั้ง แต่เธอกลับถูกพนักงานรักษาความปลอดภัยขวางไว้ที่ประตู ไม่ว่าเธอจะอ้อนวอนอย่างไร อีกฝ่ายก็ไม่ยอมให้เธอเข้าไป
เมื่อเห็นว่าการผ่าตัดของพ่อไม่สามารถยืดเยื้อต่อไปได้อีกแล้ว ทิพย์พารักษ์มองแหวนบนนิ้วของเธอ เธอจึงตัดสินใจแน่วแน่ แล้วเรียกแท็กซี่อีกครั้งไปยังร้านเครื่องประดับที่อยู่ใกล้ๆ
ความเจ็บป่วยทางกาย ประกอบกับความเหนื่อยล้ามาทั้งคืน ทำให้ทิพย์พารักษ์เผลอหลับไปบนรถแท็กซี่ จนคนขับต้องเป็นคนปลุก
หลังจากลงจากรถ ทิพย์พารักษ์เกือบล้มลง แต่เธอก็อาศัยใจที่เด็ดเดี่ยวพยุงตัวลุกขึ้นยืนอีกครั้ง แล้วเดินตรงไปยังร้านเครื่องประดับ
ทันทีที่ทิพย์พารักษ์เดินเข้าไปในร้านเครื่องประดับ พนักงานขายก็รีบเข้ามาต้อนรับอย่างกระตือรือร้น พร้อมรอยยิ้มแบบมืออาชีพแล้วถามว่า “สวัสดีค่ะคุณผู้หญิง ต้องการให้ดิฉันแนะนำเครื่องประดับคอลเลกชันใหม่ล่าสุดที่เพิ่งออกมาไหมคะ?”
ทิพย์พารักษ์ยังคงรู้สึกเวียนหัวอยู่บ้าง เธอพิงเคาน์เตอร์ร้านเครื่องประดับแล้วส่ายหัว ก่อนจะออกแรงถอดแหวนบนนิ้วออกมาวางไว้ตรงหน้าพนักงานขาย
“รบกวนช่วยตามผู้เชี่ยวชาญด้านอัญมณีของพวกคุณมาประเมินราคาแหวนวงนี้หน่อยค่ะ ฉันต้องการขายมัน ได้โปรดเร็วหน่อยนะคะ” คำพูดของทิพย์พารักษ์ทำให้พนักงานขายชะงักไปครู่หนึ่ง แต่ไม่นานเธอก็พยักหน้าแล้วเข้าไปตามผู้เชี่ยวชาญด้านอัญมณี
บ่อยครั้งที่จะมีคนนำเครื่องประดับหรือทองคำมาขายที่ร้าน เรื่องแบบนี้พวกเขาเจอมาเยอะแล้ว
ไม่นาน ผู้เชี่ยวชาญด้านอัญมณีก็มาถึง เขาหยิบแหวนขึ้นมาพิจารณาอย่างละเอียด นี่คือแหวนหยกที่มีมูลค่าสูงมาก
สีหน้าของผู้เชี่ยวชาญด้านอัญมณีดูประทับใจ ดูเหมือนจะชื่นชมแหวนวงนี้เป็นอย่างมาก ซึ่งทำให้ในใจของทิพย์พารักษ์จุดประกายความหวังขึ้นมา แต่ในตอนนั้นเอง ก็มีเสียงที่บาดหูอย่างยิ่งดังขึ้น
“พี่อัศวินคะ ดูสิคะ ผู้หญิงข้างหน้านั่นใช่ทิพย์พารักษ์หรือเปล่าคะ?”
ร่างกายของทิพย์พารักษ์แข็งทื่อไปชั่วขณะ เมื่อหันกลับไปก็พบว่าเป็นไพลินและอัศวิน ทั้งสองคนจูงมือกัน ราวกับว่าพวกเขาคือสามีภรรยาที่แท้จริง
แม้ว่าในใจจะรังเกียจคนทั้งสองมากแค่ไหน แต่ทิพย์พารักษ์ก็จำต้องเดินไปอยู่ต่อหน้าอัศวิน
“อัศวิน ฉันไม่ได้ล้อเล่นนะ พ่อของฉันอาการทรุดลงกะทันหัน เอาเงินมาให้ฉัน แล้วฉันจะหย่ากับคุณทันที” น้ำเสียงของทิพย์พารักษ์เจือปนไปด้วยความอ้อนวอน
สายตาที่อัศวินมองมายังทิพย์พารักษ์เจือไปด้วยความเกลียดชังและความรังเกียจ “พ่อของเธอจะตายแล้วเหรอ? นั่นเป็นเรื่องที่ดีนะ แบบนี้เธอก็จะได้ไม่ต้องดูแลเขาอีกต่อไป ไม่ต้องห่วง พอเขาตายแล้วฉันจะส่งโลงศพอย่างดีที่สุดไปให้”
ทิพย์พารักษ์แทบไม่เชื่อหูตัวเอง เธอไม่คิดว่าอัศวินจะเลวทรามได้ถึงขนาดนี้ นี่มันเป็นการแช่งพ่อของเธอชัดๆ
ทันใดนั้น เสียงที่ยียวนกวนประสาทของไพลินก็ดังขึ้นข้างหูของคนทั้งสอง
“แหวนวงนี้สวยจังเลย สวมบนมือของฉันคงจะเหมาะพอดีเลยนะ” แหวนที่ไพลินสวมอยู่บนมือคือวงเดียวกับที่ทิพย์พารักษ์เพิ่งถอดออกเมื่อครู่นี้เอง
